ทรีตเมนต์ผิวหน้าสำคัญอย่างไร และควรเลือกทรีตเมนต์แบบไหนให้เหมาะแก่ผิว
การดูแลผิวหน้าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะคนที่เริ่มมีอายุมากขึ้น หรือขาดการดูแลตนเอง พอส่องกระจกอีกทีก็พบเจอกับความหมองคล้ำ จุดด่างดำ จนเสียความมั่นใจ การทำทรีตเมนต์ผิวจึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวภายในเวลาอันเร่งด่วน ลองมาทำความรู้จักพร้อมการเลือกรูปแบบที่เหมาะกับปัญหาผิวของตนเองกันได้เลย
การทำทรีตเมนต์ผิว คืออะไร?
ทรีตเมนต์ผิวหน้า ( teartment) เป็นการดูแลผิวหน้าของเราด้วยกระบวนการต่าง ๆ เพื่อบำรุงผิวทุกส่วนบนใบหน้า ผ่านวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทผิวหน้าและปัญหาเผิวที่เกิดขึ้น การทำทรีตเมนต์จึงต้องมีการทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อการดูแล บำรุงตามความเหมาะสมของผิวแต่ละบุคคล ทั้งนี้ การทำทรีตเมนต์มีได้ตั้งแต่การทำเพียงขั้นตอนเดียวและทำแบบหลายขั้นตอน
ความสำคัญของการทำทรีตเมนต์ผิว
แม้เราจะมีการดูแลผิวบนใบหน้าของเราอย่างดีแล้วนั้น แต่การทำทรีตเมนต์ถือเป็นสิ่งเล็กๆที่หลายคนมองข้าม การทำทรีตเมนต์สามารถช่วยเสริมการบำรุงผิวบนใบหน้าของเราให้ตอบโจทย์และทำให้การดูแลของเราต่อผิวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จุดประสงค์หลัก ๆ ของการทำทรีตเมนต์ผิว ย่อมหนีไม่พ้น การเพิ่มความขาวสว่างกระจ่างใส ผิวดูอ่อนกว่าวัย ลดเลือนความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยเหี่ยวย่น ความหย่อนคล้อยต่าง ๆ ที่เราอาจดูแลอย่างไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังการทำทรีตเมนต์ยังเพิ่มความกระชับของผิวและรูขุมขน สีผิวสม่ำเสมอ เรียบเนียน ชุ่มชื้นแลดูสุขภาพดี เมื่อเรามีผิวที่ดี ความมั่นใจในตัวเราก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ควรเลือกทรีตเมนต์อย่างไรให้เหมาะกับปัญหาผิว ?
การทำทรีตเมนต์ผิวมีด้วยกันหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เข้ารับบริการ และผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการโดยท่านสามารถลองเข้ามาประเมินและเลือกกันว่าทรีตเมนต์แต่ละแบบเหมาะกับการแก้ปัญหาผิวเรื่องใดบ้าง อาจทำเพียงบำรุงด้วยการมาส์กหรือการบำรุงด้วยสารสกัดต่างๆ หรืออาจมีการใช้เครื่องมือทางด้านความงามเสริมการทรีตเมนต์ อาทิเช่น
1. ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์
ไม่ว่าจะเป็นการทำ HIFU, Ulthera หรือ Thermage ก็ตาม หลักการคือ การยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์ลงไปใต้ชั้นผิวเพื่อให้ร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ขึ้นมาแทนของเดิม เพิ่มความยกกระชับ ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลง สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ เหมาะกับคนมีริ้วรอย ใบหน้าหมองคล้ำ มีร่องลึก ร่องน้ำหมาก ผิวหย่อนคล้อยทุกระดับ
2. ใช้คลื่น RF
การใช้คลื่น RF หรือ Radiofrequency Therapy เป็นคลื่นวิทยุช่วงความถี่ 0.3-0.5 MHz ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนเมื่อปล่อยสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสติน เพิ่มความกระจ่างใส ร่องลึก ริ้วรอยดูจางลง ผิวที่เคยหย่อนคล้อยดูเต่งตึงมากขึ้น เหมาะกับคนมีริ้วรอย หรือหย่อนคล้อยระดับไม่รุนแรง
3. การผลักวิตามิน
แพทย์จะใช้เครื่องมือเพื่อผลักวิตามินและสารอาหารผิวเข้าสู่บริเวณที่ต้องการทำทรีตเมนต์ สารดังกล่าวจะซึมเข้าสู่ชั้นผิวอย่างรวดเร็ว ฟื้นบำรุงแบบเห็นผลชัดกว่าการทาครีม ปลอดภัยสูง ไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ เหมาะกับคนผิวหมองคล้ำ มีปัญหาสิว หรือผิวแห้งกร้าน
4. การผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์
จะปล่อยพลังงานเลเซอร์บนชั้นผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวภายนอก เพิ่มการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึงการยิงแสงเลเซอร์เข้าสู่ผิวชั้นลึกก็จะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน บางรุ่นมีระบบดักจับทำลายเม็ดสี ช่วยเพิ่มความกระชับ เนียนนุ่ม ผิวดูสุขภาพดี เหมาะกับคนมีปัญหาสิว รอยแผลเป็นจากสิว รอยแตกลาย
5. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี
แพทย์จะทาสารเคมีซึ่งมีระดับความเข้มข้นของสารแตกต่างกัน เช่น AHA, BHA, TCA ลงบนผิวเพื่อให้เซลล์ผิวเก่าถูกทำลายและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน เหมาะกับคนมีปัญหาสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือเริ่มมีริ้วรอยบ้างเล็กน้อย
ตามที่กล่าวมานั้นเป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับใครหลายๆคนที่อยากทำทรีตเมนต์ผิว หรือเป็นข้อมูลศึกษาเพื่อการดูแลและบำรุงผิวของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ใครที่สนใจทำทรีตเมนต์ผิวโดยเฉพาะ Dr.Ni Clinic มีบริการด้านความสวยความงามแบบครบวงจร อุปกรณ์ทันสมัย ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เติมเต็มความหล่อสวยของทุกคนได้อย่างมั่นใจ คลินิกสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานระดับสากล ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรึกษาได้ทันที